[조니 타이] 방콕 수완나품 국제 공항주차장에 미스테리의 자동차' 가 있다.

[조니 타이] 방콕 수완나품 국제 공항주차장에 

미스테리의 자동차' 가 있다. 

  제가 올렸던 사진과 정보가 태국내에서도 유명한 ' 팬팁이라는 포털 싸이트에 기재되면서 이슈가 되고있습니다.  

=> http://www.dailynews.co.th/Content/regional/200733/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99

저에 출 퇴근 시간에 항상 마주치는 이 자동차의 정체를 궁굼해 했습니다. 

그래서 페이스북 및 트위터에 공유를 해놨습니다. 

그리고 이후~ 

เหตุการณ์ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอาถรรพ์ความลี้ลับในสิ่งที่มองไม่เห็น ยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณรุ่นปู่ทวดยายทวด มาจนถึงยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตพกติดตัวกันแทบทุกคน จึงไม่แปลกถ้าจะมีใครไปพบเห็นสิ่งผิดปกติ เช่น ผีสางนางไม้ เจ้าที่เจ้าทาง และบันทึกภาพถ่ายเอาไปโพสต์ในโลกออนไลน์ เพื่อแชร์ภาพส่งต่อๆกัน จากนั้นก็จับกลุ่มแสดงความคิดเห็นร่วมกันในสิ่งที่พบประสบมา เฉกเช่นเหตุการณครั้งนี้ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกโซเชียลมีเดียได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ถึงสิ่งลี้ลับบางอย่าง โดยเฉพาะเว็บไซต์ “พันทิป” ที่มีผู้สนใจจำนวนมากกดเข้ามาดูภาพถ่ายติดวิญญาณภาพนี้ ก่อนจะส่งต่อให้คนรู้จัก

โดยภาพดังกล่าวที่นำมาโพสต์นั้น เป็นภาพของรถเก๋งคนหนึ่ง ยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน กษ 5284 ชลบุรี จอดแน่นิ่งอยู่ในอาคารจอดรถ 3 ชั้น 4 ล็อก 4บี ของสนามบินสุวรรณภูมิ สภาพยังใหม่อยู่แต่กลับมีฝุ่นหนาทึบปกคลุมทั่วทั้งคัน ซึ่งไม่มีการระบุว่ามีใครเป็นเจ้าของรถ และที่แปลกประหลาดกว่านั้นคือ ที่พื้นลานจอดหน้ารถได้มีการนำน้ำแดง น้ำเปล่า และของเซ่นไหว้มาวางไว้ ขณะที่บนกระจกหน้ารถและกระจกมองข้างก็มีพวงมาลัยแขวนอยู่เช่นกัน คล้ายกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนกราบไหว้

ต่อมา ผู้ที่ได้พบเห็นภาพได้แสดงทัศนะต่างๆนานาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งผู้ที่พอรู้เรื่องราวได้ให้ข้อมูลอ้างว่า รถเก๋งคันนี้ถูกเจ้าของนำขึ้นไปจอดบนอาคารลานจอดรถของสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ช่วง ต.ค.2554 เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ทำให้เจ้าของต้องขับขึ้นมาจอดหนีน้ำ จากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย กระทั่งมาทราบภายหลังว่าเจ้าของรถได้เสียชีวิตแล้วในต่างประเทศโดยไม่ทราบถึงสาเหตุ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งตรวจเช็กประสานญาติเจ้าของรถมาดำเนินการเอารถออกไป พร้อมทั้งต้องจ่ายค่าจอดรวมหลายแสนบาทเป็นการชดเชยด้วย ทางญาติจึงตัดสินใจปล่อยรถทิ้งไว้

โดยหลังญาติไม่ยอมนำรถกลับ ผู้ที่เกี่ยวข้องของสนามบินจึงว่าจ้างให้คนงานใช้รถยกขนาดใหญ่มายกรถคันดังกล่าวออกไป โดยผู้ที่โพสต์ข้อมูลยังเล่าว่า แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เนื่องจากรถยกไม่สามารถยกหรือลากรถคันนี้ได้ เพราะจู่ๆก็มีน้ำหนักมากอย่างไม่มีเหตุผล ทำให้คนงานรู้สึกแปลกใจจึงมองผ่านกระจกเข้าไปในรถ เพื่อดูว่ามีสิ่งผิดปกติอะไร แต่สิ่งที่เห็นคือ ร่างของหนุ่มใหญ่ผิวเข้ม ลักษณะท้วม นั่งแสยะยิ้มก่อนจะหันศีรษะมามอง อยู่ที่บริเวณเบาะคนขับ สร้างความตื่นตะลึงจนจับไข้หัวโกร๋น จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาดำเนินการอีก ก่อนจะมีผู้พบเห็นสิ่งเร้นลับอยุ่บ่อยครั้งจนต้องนำเครื่องเซ่นไหว้มาแสดงความเคารพ รวมทั้งขอเลขเด็ด

จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่รุดไปตรวจสอบยังจุดจอดรถแห่งนี้ ก่อนพบว่ารถเก๋งดังกล่าวยังจอดสงบนิ่งอยู่ตำแหน่งเดิม สภาพฝุ่นจับหนาเขรอะ ภายในมีพวงมาลัยแห้งกรอบแขวนอยู่ รวมทั้งมีพระพุทธรูปวางไว้ที่คอนโซลหน้ารถด้วย แต่ที่ผิดไปจากภาพถ่ายคือ บรรดาของเซ่นไหว้ต่างๆได้ถูกเก็บทิ้งจนเกลี้ยงแล้ว ซึ่งจากการสอบถามพนักงานสาวที่จำหน่ายสินค้าอยู่ในสนามบิน ให้การว่า ตนทำงานอยู่ที่สนามบินมานาน เวลาจะกลับบ้านก็ต้องเดินขึ้นไปบนลานจอด แต่มีวันหนึ่งที่จอดรถเต็มต้องขับมาจอดใกล้เคียงรถคันนี้ พอเลิกงานช่วงที่กำลังเดินผ่านท้ายรถ สังเกตุเห็นเงาดำทะมึนขนาดใหญ่ทำท่าหมุนพวงมาลัยอยู่ภายในรถ พอเข้าไปดูเงาดังกล่าวก็หันศีรษะมาแสยะยิ้มให้ ก่อนจะตกใจวิ่งหนีไปทันที ยิ่งพักหลังมีนักเสี่ยงโชคนำเลขรถไปแทงหวยและถูกรางวัล เลยทำให้ต้องซื้อของเซ่นมากราบไหว้

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เข้าสอบถามถึงที่มาที่ไปกับทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายการขนส่งของสนามบินรายหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า รถคันนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเคลื่อนย้ายอยู่ แต่ยังไม่รู้กำหนดแน่ชัด พร้อมให้รายละเอียดว่า รถเก๋งเฮี้ยนดังกล่าวเป็นของบริษัทแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ที่เปิดให้บริการเช่ารถ จากนั้นได้มีลูกค้าเป็นหนุ่มใหญ่ชาวปากีสถานมาขอเช่ารถไป เมื่อวันที่ 30 มี.ค.55 และติดต่อกันไม่ได้อีกเลย กระทั่งหมดสัญญาผู้เช่าก็ไม่ได้นำรถมาคืน ทางบริษัทจึงเข้าแจ้งข้อหา ยักยอกทรัพย์ของผู้อื่นไว้ที่ สภ.เมืองพัทยา ก่อนจะทราบภายหลังว่ารถถูกจอดทิ้งอยู่ที่นี่ ทางบริษัทจึงแจ้งขอเอารถคืน แต่เนื่องจากทางลานจอดจำเป็นต้องคิดค่าจอดรวมเป็น 1.2 แสนบาท ทำให้ทาง บริษัทต้องทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ยกเว้นค่าจอดเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งอยู่ระหว่างการตัดสินใจของผู้บริหาร ส่วนเรื่องเฮี้ยนเคยได้ยินหลายครั้งแต่ยังไม่เจอกับตัวเอง.